นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยในงานปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาเศรษฐกิจประจำปี 66 ถึงเวลา! ก้าวสู่ทรงใหม่ไทยแลนด์ ว่า แนวทางที่ไทยต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในอนาคต คือ 1.นโยบายการเงินการคลังต้องสอดคล้องกัน และเติบโตอย่างยั่งยืน รวมถึงดูเงินเฟ้อ กับอัตราการว่าง 2. การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะโมเดลเศรษฐกิจใหม่ เศรษฐกิจดิจิทัล อาทิ ดาต้าเซ็นเตอร์ ปัจจุบันมีต่างประเทศมาลงทุนในไทยเพียง 11 รายเท่านั้น ซึ่งไทยมีโอกาสดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้อีก ด้วยมาตรการจูงใจ ทั้งเรื่องภาษี วีซ่า และความมั่นคงของพลังงานคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
3.การปรับโครงสร้างรายได้ เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในประเทศ ที่ผ่านมารายได้ของไทยอยู่ที่ 13% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ จากปกติอยู่ที่ 17-18% ต่อจีดีพี ซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศ จำเป็นต้องหาช่วงทางเพิ่มรายได้ ส่วนเรื่องการลงทุนของภาครัฐ จะต้องการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์กับการศึกษาพัฒนาทักษะแรงงาน จากที่ผ่านมาเน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค 4.การเปลี่ยนผ่านพลังงาน จากฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด ซึ่งสถาบันการเงินจะเน้นการปล่อยสินเชื่อพลังงานสะอาดและพลังานแสงอาทิตย์ 5.นโยบายคาร์บอนเครดิต เพื่อลดโลกร้อน ถือเป็นแนวนโบายทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยปีนี้เชื่อว่าจะเติบโต 3-4% ตามที่คาดการณ์ไว้ แต่ต้องจับตา 3 ปัจจัยเสี่ยง ถือเป็นปัจจัยภายนอก ได้แก่ 1.ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ส่งผลกระทบต่อส่งออกของไทย ซึ่งไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องเดือน ม.ค. ปีนี้ ส่งออกติดลบ คำสั่งซื้อสินค้าชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นไทยต้องหาตลาดใหม่ โดยเฉพาะอาเซียน เพื่อเพิ่มยอดการส่งออกคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
2.ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ ในปีที่ผ่านมา กระทบต่อต้นทุนปัจจัยการผลิต ส่งผลให้เงินเฟ้อไทยและทั่วโลกเพิ่มสูงมาก และถึงแม้ในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ เงินเฟ้อของไทยทยอยลดลงมาเหลือ 3% กว่า แต่ยังต้องจับตาต่อไป เพราะความขัดแย้งดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด และ 3.ความเสี่ยงของธุรกิจสถาบันการเงิน ซึ่งขณะนี้มีปัญหาในสหรัฐฯและสหภาพยุโรป ซึ่งต้องเกาะติดสถานการณ์ใกล้ชิด
สำหรับกรณีที่เอกชนมองว่า ภายใต้รัฐบาลรักษาการ จะเกิดสุญญากาศทางการเมืองกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจนั้น เชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบ เนื่องจากภาคธุรกิจยังต้องเดินหน้าค้าขายต่อไป เพราะเศรษฐกิจหยุดเดินไม่ได้ แต่ปัจจุบันยังมีโครงการต่อเนื่องอยู่แล้ว อาทิ เราเที่ยวด้วยกัน การลดภาษีน้ำมันดีเซลถึง ส.ค. นี้ และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ยังคงเดินหน้าและรับสิทธิเช่นเดิม